การเทรด Forex แบบมาร์จิ้นคืออะไร?
การเทรด Forex แบบมาร์จิ้นคือการใช้เลเวอเรจ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถควบคุมมูลค่าการลงทุนที่สูงขึ้นด้วยเงินทุนที่น้อยลง ถือเป็นวิธีการลงทุนที่มีประสิทธิภาพและสามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
ยกตัวอย่าง เช่น สัญญา Forex หนึ่งล็อตมีมูลค่า 100,000 ดอลลาร์ หากไม่ใช้การเทรดแบบมาร์จิ้น คุณจะต้องมีเงินทุนเต็มจำนวน 100,000 ดอลลาร์เพื่อทำการซื้อสัญญาหนึ่งล็อต
แต่หากใช้การเทรดแบบมาร์จิ้น โดยใช้เลเวอเรจ 100 เท่าคุณจะสามารถซื้อสัญญา Forex หนึ่งล็อตได้ด้วยเงินเพียง 1,000 ดอลลาร์ จากมูลค่ารวม 100,000 ดอลลาร์ ซึ่งทำให้การเข้าร่วมการเทรดเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นและช่วยให้สามารถใช้ทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ก่อนเริ่มต้นการเทรด Forex แบบมาร์จิ้น เราต้องพิจารณาปัจจัยเหล่านี้
1. การเลือกเลเวอเรจที่เหมาะสม
โดยทั่วไปแล้ว การใช้เลเวอเรจสูงจะช่วยให้คุณสามารถขยายการใช้ทุนได้มากขึ้น แต่นั่นก็เหมือนดาบสองคมเพราะในขณะที่เลเวอเรจสามารถเพิ่มผลกำไรได้แต่ก็ยังทำให้การขาดทุนขยายตัวตามไปด้วย จากตัวอย่างข้างต้นเมื่อใช้เลเวอเรจ 100 เท่าจะทำให้การเคลื่อนไหวเพียงแค่ 1 ดอลลาร์ สามารถส่งผลต่อกำไรหรือขาดทุนได้ถึง100เท่า
ปัจจุบันแพลตฟอร์มต่าง ๆ ในตลาดมีการเสนอเลเวอเรจตั้งแต่ 30 เท่าจนถึง 2000 เท่าซึ่งในการเลือกใช้เลเวอเรจนั้นควรพิจารณาดังนี้:
ข้อแรก คือ สำหรับผู้เริ่มต้น ควรเลือกใช้เลเวอเรจไม่เกิน 200 เท่า เพราะจะช่วยให้ควบคุมความเสี่ยงได้ง่ายขึ้น
ข้อสอง คือ สำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์แล้ว แนะนำให้เลือกแพลตฟอร์มที่มีเลเวอเรจไม่เกิน 500 เท่าก่อนเพื่อให้การจัดการความเสี่ยงยังคงอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้
หลังจากที่มีการออกกฎ MiFID II อุตสาหกรรมการเทรด Forex ได้มีการตกลงร่วมกันในการลดเลเวอเรจ ตัวอย่างเช่น FCA ของอังกฤษ, FSA ของญี่ปุ่นและ NFA ของสหรัฐฯ ล้วนมีการจำกัดเลเวอเรจไม่เกิน 50 เท่า แม้แต่การกำกับดูแลแบบออฟชอร์ก็ยังมักจะจำกัดเลเวอเรจไม่เกิน 500 เท่าและหน่วยงานกำกับดูแลจะกำหนดมาร์จิ้นเพิ่มขึ้นตามอัตราเลเวอเรจที่สูงขึ้นโดยทั่วไปแล้วยิ่งเลเวอเรจสูงก็จะต้องชำระมาร์จิ้นสูงขึ้นตามไปด้วย
ดังนั้น หากแพลตฟอร์มไหนที่มีเลเวอเรจสูงเกินกว่า 500 เท่าคุณควรพิจารณาความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มนั้นและความปลอดภัยของเงินทุนของคุณอย่างรอบคอบ
หากคุณต้องการเปิดบัญชีภายใต้การกำกับดูแลที่เข้มงวด ปัจจุบันมีเพียงบางประเทศที่สามารถให้บริการเลเวอเรจสูงได้ภายใต้เงื่อนไข เช่น FCA ของอังกฤษที่สามารถให้เลเวอเรจสูงถึง 100 เท่าหรือมากกว่านั้นสำหรับนักลงทุนมืออาชีพ
ปัจจุบันมีเพียงบางแพลตฟอร์มเท่านั้นที่สามารถให้บริการบัญชีประเภทนี้ได้ เช่น แพลตฟอร์ม EBC ที่ใช้งานอยู่ซึ่งสามารถเปิดบัญชี FCA พร้อมเลเวอเรจ 100 เท่าให้กับนักลงทุนมืออาชีพและยังมีการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการรับรองสถานะนักลงทุนมืออาชีพเต็มจำนวน ถือเป็นทางเลือกที่ดีมากสำหรับผู้ที่ต้องการใช้เลเวอเรจสูง
ข้อสาม คือ เลเวอเรจของแต่ละประเภทสินทรัพย์มีความแตกต่างกัน
โดยทั่วไปแล้ว คู่เงินหลักจะมีเลเวอเรจสูงที่สุด รองลงมาคือทองคำและดัชนีต่าง ๆ เช่น ดัชนีหุ้นสำหรับแพลตฟอร์ม EBC ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ เลเวอเรจของทองคำ น้ำมันดิบ และดัชนีจะมีความแตกต่างกัน ดังนั้นก่อนที่คุณจะเริ่มเทรด ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับเลเวอเรจของแต่ละประเภทให้ดี เพื่อที่คุณจะได้สามารถควบคุมการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเทรด Forex แบบมาร์จิ้นนั้นเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงและด้วยลักษณะการเทรดที่สามารถทำได้ทั้งในทิศทางขาขึ้นและขาลง รวมถึงการใช้เลเวอเรจ ทำให้มีโอกาสเกิดการปิดออเดอร์ในช่วงที่เราหลับในตอนกลางคืนได้
ดังนั้นการเรียนรู้ในการตั้งจุด Take Profit และ Stop Loss จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
การตั้งจุด Take Profit และ Stop Loss ช่วยให้คุณสามารถปิดการเทรดเมื่อราคาถึงจุดที่คุณตั้งไว้ล่วงหน้าโดยไม่จำเป็นต้องเฝ้าหน้าจอเทรดตลอดเวลา เช่น หากคุณมีบัญชี 1000 ดอลลาร์และยอมรับการขาดทุนสูงสุดที่ 500 ดอลลาร์ หมายความว่าคุณจะอนุญาตให้ราคาลดลงแค่ 50 จุดแต่หากในระหว่างวันตลาดเคลื่อนไหวแค่ในกรอบเดียว จนกระทั่งช่วงค่ำราคาลดลงถึง 150 จุด
หากคุณไม่ได้ทำการใด ๆ เลย บัญชีของคุณจะถูกสั่งปิดโดยอัตโนมัติจากการเรียกมาร์จิ้น แต่หากคุณตั้งจุดตัดขาดทุนที่ 50 จุด บัญชีของคุณจะยังคงมีมูลค่าสุทธิอยู่ที่ 500 ดอลลาร์
การตั้งจุด Take Profit และ Stop Loss คือการตั้งคำสั่งล่วงหน้าให้ระบบดำเนินการเมื่อราคาถึงระดับที่กำหนดไว้ แต่ก็มีข้อเสียสำคัญคือหากราคาตลาดเกิดการกระโดดข้ามระดับที่ตั้งไว้ คำสั่งนั้นอาจไม่สามารถดำเนินการได้ทันทีส่งผลให้ความสูญเสียอาจขยายเพิ่มได้
ยกตัวอย่างเช่น หากคุณตั้งจุด Stop Loss ที่ 2,000 ดอลลาร์แต่เนื่องจากสภาพคล่องในตลาดไม่ดี
ราคาจึงไม่สามารถเข้าไปถึง 2,000 ดอลลาร์ได้ โดยราคาลดลงอย่างรวดเร็วจาก 2005 ดอลลาร์ ไปยัง 1,995 ดอลลาร์ โดยข้ามผ่าน 2,000 ดอลลาร์ไป ทำให้ราคาข้ามผ่านจุดที่คุณตั้งไว้และคำสั่ง Stop Loss ไม่ได้รับการดำเนินการ
ดังนั้นการเลือกแพลตฟอร์มที่มีสภาพคล่องสูงถือเป็นสิ่งสำคัญในการเทรด Forex แบบมาร์จิ้น เช่นแพลตฟอร์ม EBC ที่เชื่อมต่อกับผู้ให้บริการสภาพคล่องชั้นนำกว่า 36 รายพร้อมการเสนอราคาลึกถึง 5 ระดับซึ่งช่วยรับประกันความต่อเนื่องและความแม่นยำของราคามากที่สุด ทำให้สามารถดำเนินการตั้งจุด Take Profit และ Stop Loss ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้างต้นที่กล่าวมานั้นเป็นข้อควรพิจารณาเบื้องต้นที่สำคัญสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเข้าร่วมในการเทรด Forex แบบมาร์จิ้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเทรด Forex แบบมาร์จิ้นคือการควบคุมความเสี่ยงเนื่องจากเป็นการลงทุนที่มีทั้งความเสี่ยงสูงและผลตอบแทนสูง ดังนั้น การจัดการความเสี่ยงในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการขนาดตำแหน่งการเทรด การตั้งจุด Take Profit และ Stop Loss หรือการใช้เลเวอเรจ ควรหาความสมดุลที่เหมาะสมเพื่อให้การเทรดของเรามีความปลอดภัยสูงสุด


ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น